ตาดู หูฟัง อะไร ก็ยังเห็นความรู้สึกอยู่ ไม่มีอะไร เห็นความรู้สึก มันว่าง รู้ ตื่น ว่าง นั่งอยู่ ขยับแข้งขยับขา ก็สบายนี่แหละ ความสุข ก็ไม่มีทุกข์ รู้อย่างนี้ ก็ไม่มีทุกข์ เป็นปกติ ธรรมดา
ดูให้ต่อเนื่อง ดูให้มันอยู่ตัว แล้วก็เคลื่อนไหวไป พลิกมือขึ้นช้าๆ ยังเห็นอยู่ เอาขึ้นมาอย่างนี้ก็ยังเห็น ไม่มีอะไร ทำช้าๆ ไม่ต้องไปดูมือนะ ดูความรู้สึก ก็ยังไม่มีอะไร หายใจก็โปร่งเบา ไม่อั้นไม่กลั้น
ถ้าอั้นกลั้น มันยึดแล้ว
รู้ได้ทั้งตัวเลย รู้ได้ นี่แหละ พุทธะ
รับรองไม่มีทางเป็นอะไรๆ มันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น เข้าถึงธรรมชาติล้วนๆ หรือ ธรรมชาติบริสุทธิ์ หรือ จิตที่ผ่องแพ้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข นั่นแหละ ยิ่งกว่าสุข พ้นทุกข์พ้นภาระ จิตใจไม่มีภาระ
มันหมดปัญหา หมดสงสัย แล้วก็เป็นธรรมดาๆ
คนเราเวลาปฏิบัติธรรม มักจะมุ่งให้มันได้อะไรๆ แต่ไม่เห็นธรรมดาๆอย่างนี้ คือต้องมีสิ่งที่วิเศษกว่านี้ มันไม่มีอะไรดีกว่านี้ มีแค่นี้แหละ
คอยประคับประคอง เบาๆ มันคอยจะแว๊บออกไป ถ้าไม่รู้มันก็เกิด ถ้ารู้มันก็ดับ คอยรู้ไว้ รู้ปุ๊บดับปั๊บ ทำให้ต่อเนื่อง ดูไปเรื่อยๆ ตอนนี้ที่ดูนี่ ไม่มีทุกข์ ไม่มีภาระ ก็พอใจตรงนี้ มันจะไม่คิดที่จะแสวงหาอะไรอีก ไม่มีไปไม่มีมา
ดูให้ต่อเนื่องเรื่อยๆ
หลวงพ่ออยากจะชี้ให้ดูตรงนี้ ให้รู้จักตรงนี้ รู้ได้ ไม่ใช่เราต้องรู้ มันเป็นภาระแล้ว มันจะหนัก มันจะยึด ไม่เกร็ง มันจะเบา จะรู้สึกสบาย จะมีความสุข ความรู้สึกโปร่ง โล่ง เบา กายก็เบา ใจก็เบา
พอเราเผลอไปต้องกลับมาทบทวนตรงนี้ ถ้าไม่รู้อย่างนี้แสดงว่า ผิดแล้วพอมันเผลอจะเกิดหงุดหงิด ร้อนอกร้อนใจ เราจะเห็นมันเกิด
ถ้าสติต่อเนื่องจริงๆ เราจะเห็นก่อนเกิด เหมือนน้ำในโอ่งมันมีตะกอน ถ้าเราเอาขันไปจ้วงแรงๆ ตะกอนมันจะขึ้นมาด้วย ต้องเบาๆ เราจะเห็นตะกอนมันค่อยๆฟุ้งขึ้นมา เหมือนจิตของเรา อารมณ์มันเกิดขึ้นมาอย่างไร
พอเรารู้เท่านั้น มันจะสิ้นไป นี่แหละญาณ