ตารางกิจกรรม “ปฏิบัติตน” ประจำวัน
คำแนะนำ นักปฏิบัตธรรม ควรเตรียมตัวก่อน มาปฏิบัติธรรม ที่ สำนักสงฆ์ ถ้ำเขาพระ ดังนี้
1. จะใส่ชุดขาวหรือไม่ใส่่ชุดขาว เวลาฝึกปฏิบัติตน ได้
2. มีห้องพัก ชาย หญิง แยกเป็นสัดส่วน
3. มีทุกข์
การรับสมัคร
ไม่มีคอร์สอบรมโดยเฉพาะ ผู้สนใจมาได้ตามสะดวกทุกวัน แต่อาจโทรมาแจ้งหลวงพ่อสมบูรณ์ไว้ก่อนล่วงหน้า
จำนวนรับสมัคร
ผู้ชายมีกุฏิ 8 ห้อง ส่วนผู้หญิง มีที่พัก 16 ห้อง แต่ละห้องมีห้องน้ำในตัว มีมุ้งลวด เตียง เสื่อ หมอน อาจนำผ้าห่มติดตัวมาด้วยจะเป็นการดี สามารถพักได้ห้องละ 2 คน
การแต่งกาย
นุ่งห่มอย่างไรก็ได้ให้สุภาพเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดขาว
อาหาร
มีอาหารจากพระบิณฑบาต 2 มื้อ มีครัวสามารถทำเพิ่มเติมได้ ยึดหลัก
“กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน”
ตารางปฏิบัติ
03.00 เวลาที่ควรตื่นทำความเพียรเครื่องเผากิเลส
04.30 ทำวัตรเช้า ฟังธรรม และเจริญสติร่วมกันที่ศาลา
07.30 รับประทานอาหาร
09.30 ปฏิบัติธรรมเจริญสติ
11.00 รับประทานอาหาร
13.00 ปฏิบัติธรรมเจริญสติ
14.30 กวาดลานวัด
17.00 ทำวัตเย็น ฟังธรรม และเจริญสติร่วมกันที่ศาลา
19.00 แยกย้ายกันปฏิบัติ หรือทำกิจส่วนตัวแล้วเข้านอน
“ความรู้สึก” สักว่าเป็นความรู้สึก
ผู้รู้ก็เห็นความรู้สึกอันนี้จึงเขียนภาพนี้ขึ้นมา พอเห็นความรู้สึกจึงเห็นว่าเป็นธรรมชาติ หรือเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา
ส่วนมากคนเรา เป็น “ เรารู้สึก ” เลยเข้าใจว่า ตัวความรู้สึกนี่เป็นตัวเรา เรารู้สึกยินดี เรารู้สึกยินร้าย เรารู้สึกเป็นทุกข์เป็นสุข นี่เราก็มาหลง หลงความรู้สึกอันนี้ เราไม่รู้จักความรู้สึกอันนี้ มันจะซับซ้อนหน่อยความรู้สึกตัวนี้
ธรรมดามันจะเฉยๆ แต่ถ้าเป็นเรารู้สึกจะถูกปรุงแต่งเลย ตัวรู้สึก(ตัวใหญ่)นี่ก็หมายถึง มีหู มีตา มีจมูก มีลิ้น มี กาย มีใจ เวลากระทบสัมผัสต่างๆมันเพียง รู้เท่านั้นเอง
รู้แล้วก็จะไม่มี ไม่มียินดียินร้าย สงบไม่สงบ พอใจไม่พอใจ มันจะไม่มี ถ้าเป็นเรารู้สึก มันจะมีทันทีเลย เกิดโลภะ โทสะ โมหะ โมหะแปลว่าไม่รู้ความจริง
ไม่รู้ความจริงว่าตัวนี้น่ะ มันเป็นธรรมชาติ เป็นความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา ต้องให้เห็นอย่างนี้ว่า ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นเพียง “ความรู้สึก” สักว่าเป็นความรู้สึก
ถ้าเป็นเรารู้สึกมันจะปรุงแต่งเลย ตรงกับหลวงพ่อเทียนต่างกันที่คำพูด ท่านบอกว่าให้ดูความคิด
อันนี้เข้าไปอยู่ในความคิด ก็เข้าไปอยู่ในความรู้สึกนั่นเอง
ดูความรู้สึก เห็นความรู้สึก
รูปนี้มันของจีนสมัยก่อน
หลวงพ่อก็สอนอันนี้ มาเข้าใจ มารู้จัก อันนี้
พอดีเขามาแสดงรูปนี้ เลยมาสนับสนุนหลวงพ่อขึ้นอีก
หรือมาเป็นพยานนั่นเอง ว่าที่หลวงพ่อชี้
ชี้ให้ดูความรู้สึกนี่ มันตรงกัน มันอันเดียวกัน ไม่ใช่หลวงพ่อพูดขึ้นมาลอยๆ ท่านผู้รู้สมัยนั้น เขาพูดกันมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว พอมาๆมันเลือน หายไปหมดเลย มันไม่มีแล้ว หรืออาจมีแต่มีน้อย แล้วก็ดูเอาเอง ไม่ต้องมาเชื่อหลวงพ่อ ไม่ต้องมาเชื่อคนโบราณด้วย
จริงๆมันเป็นธรรมชาติ เป็นเป็นเพียงภาวะธรรมเท่านั้น มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นเพียงความรู้สึก หรือ ภาวะของความรู้สึก อยู่ในกายของเรานี่เอง
และตัวรู้อีกตัวหนึ่ง
ถึงให้มาดูความรู้สึก
ตัวใหญ่นี้หมายถึง ตัวความรู้สึก ตัวข้างล่าง หมายถึงให้มาดูความรู้สึก ดูความรู้สึก จึงเห็นความรู้สึก
ญาณแปลว่า สิ้นไป สิ้นไปซึ่งอาสวะ
ญาณแปลว่า สิ้นไป สิ้นไปซึ่งอาสวะ
พอเราเห็นชินๆ เห็นตรงนี้ชินๆ หมดเลย ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ หมดกิจ เสร็จกิจ กิจอื่นก็ไม่มีอีกแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว ความเกิดอีกไม่มีแล้วเอาอะไรไปเกิด ถ้าถามว่าตายแล้วไปไหน ก็ดูตรงนี้
มันก็ไม่มีอะไรเกิด มีเพียงแต่รู้ รู้แล้วก็เห็นความเป็นไป ตายก็ไม่มี ก็เห็นเพียงความเป็นไป มันเจ็บมันปวดก็เห็นมันเจ็บมันปวด ก็ดู ก็เฉยต่อความเจ็บความปวด
แต่ก็เป็นไปแบบสบาย ดูแบบสบายๆ หรือดูแบบเฉยๆ สบายหรือสบายหรือไม่สบายเราก็เฉยได้ อยู่เหนืออะไรหมด โลกุตรธรรมคืออยู่เหนือโลก
มันไม่ยาก แต่ทำให้ต่อเนื่องต้องใช้เวลา ถ้ายังไม่ต่อเนื่องเลยต้องมาเจริญสติ จึงเรียกว่า มาฝึกสติที่เราเห็นความรู้สึก นั่นแหละ มีสติเป็น สัมมาสติ เพราะมันปล่อย มันวาง มันเบา ถ้าไม่รู้อย่างนี้มันหนัก
รับรองติดตามหลวงพ่อไม่นานเลย ต้องมาเน้นมาย้ำตรงนี้บ่อยๆ ให้มันรู้ตรงนี้ เห็นตรงนี้
พอเรารู้เท่านั้น มันจะสิ้นไป นี่แหละญาณ
ตาดู หูฟัง อะไร ก็ยังเห็นความรู้สึกอยู่ ไม่มีอะไร เห็นความรู้สึก มันว่าง รู้ ตื่น ว่าง นั่งอยู่ ขยับแข้งขยับขา ก็สบายนี่แหละ ความสุข ก็ไม่มีทุกข์ รู้อย่างนี้ ก็ไม่มีทุกข์ เป็นปกติ ธรรมดา
ดูให้ต่อเนื่อง ดูให้มันอยู่ตัว แล้วก็เคลื่อนไหวไป พลิกมือขึ้นช้าๆ ยังเห็นอยู่ เอาขึ้นมาอย่างนี้ก็ยังเห็น ไม่มีอะไร ทำช้าๆ ไม่ต้องไปดูมือนะ ดูความรู้สึก ก็ยังไม่มีอะไร หายใจก็โปร่งเบา ไม่อั้นไม่กลั้น
ถ้าอั้นกลั้น มันยึดแล้ว
รู้ได้ทั้งตัวเลย รู้ได้ นี่แหละ พุทธะ
รับรองไม่มีทางเป็นอะไรๆ มันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น เข้าถึงธรรมชาติล้วนๆ หรือ ธรรมชาติบริสุทธิ์ หรือ จิตที่ผ่องแพ้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข นั่นแหละ ยิ่งกว่าสุข พ้นทุกข์พ้นภาระ จิตใจไม่มีภาระ
มันหมดปัญหา หมดสงสัย แล้วก็เป็นธรรมดาๆ
คนเราเวลาปฏิบัติธรรม มักจะมุ่งให้มันได้อะไรๆ แต่ไม่เห็นธรรมดาๆอย่างนี้ คือต้องมีสิ่งที่วิเศษกว่านี้ มันไม่มีอะไรดีกว่านี้ มีแค่นี้แหละ
คอยประคับประคอง เบาๆ มันคอยจะแว๊บออกไป ถ้าไม่รู้มันก็เกิด ถ้ารู้มันก็ดับ คอยรู้ไว้ รู้ปุ๊บดับปั๊บ ทำให้ต่อเนื่อง ดูไปเรื่อยๆ ตอนนี้ที่ดูนี่ ไม่มีทุกข์ ไม่มีภาระ ก็พอใจตรงนี้ มันจะไม่คิดที่จะแสวงหาอะไรอีก ไม่มีไปไม่มีมา
ดูให้ต่อเนื่องเรื่อยๆ
หลวงพ่ออยากจะชี้ให้ดูตรงนี้ ให้รู้จักตรงนี้ รู้ได้ ไม่ใช่เราต้องรู้ มันเป็นภาระแล้ว มันจะหนัก มันจะยึด ไม่เกร็ง มันจะเบา จะรู้สึกสบาย จะมีความสุข ความรู้สึกโปร่ง โล่ง เบา กายก็เบา ใจก็เบา
พอเราเผลอไปต้องกลับมาทบทวนตรงนี้ ถ้าไม่รู้อย่างนี้แสดงว่า ผิดแล้วพอมันเผลอจะเกิดหงุดหงิด ร้อนอกร้อนใจ เราจะเห็นมันเกิด
ถ้าสติต่อเนื่องจริงๆ เราจะเห็นก่อนเกิด เหมือนน้ำในโอ่งมันมีตะกอน ถ้าเราเอาขันไปจ้วงแรงๆ ตะกอนมันจะขึ้นมาด้วย ต้องเบาๆ เราจะเห็นตะกอนมันค่อยๆฟุ้งขึ้นมา เหมือนจิตของเรา อารมณ์มันเกิดขึ้นมาอย่างไร
พอเรารู้เท่านั้น มันจะสิ้นไป นี่แหละญาณ
ดูอยู่อย่างนี้ ความรู้สึกมันหยุด
หายใจอย่างไร จึงจะปลอดโปร่ง หายใจอย่างไร โล่งอกโล่งใจดี หายใจอย่างไร จึงจะเบาเนื้อเบาตัวดี
หายใจอย่างไร มีชีวิตชีวาดี หายใจอย่างไร ตื่นเนื้อตื่นตัวดี รู้จักคลี่คลาย ผ่อนคลาย
ดูให้ต่อเนื่อง ..... ดูให้มันอยู่ตัว......ตรวจสอบทางกาย ก็ไม่เกร็งเนื้อเกร็งตัว จิตใจก็ไม่อั้นไม่กลั้น มีให้เราดูเยอะเลย เป็นไปเพื่อสบาย เป็นไปเพื่อสงบตื่นเนื้อ ตื่นตัว........ไม่อั้นไม่กลั้น
มันอิ่ม มันเต็ม เบิกบานแจ่มใส กระปรี้กระเปร่า ร่าเริง คล่องแคล่ว มีชีวิตชีวาสว่าง สะอาด สงบ พอเราดูอยู่อย่างนี้ มันจะหยุดความรู้สึกมันหยุด
มันหยุดก็ไม่มีความคิดความเห็น มันเห็นความรู้สึก มีเพียงแต่รู้
รู้....ความรู้สึก เห็น....ความรู้สึกไม่ต้องมีวิพากษ์วิจารณ์ หรือ จินตนาการอะไร ความรู้สึกหยุด หรือพัก พักความรู้สึก ไม่มีอะไร อยากก็ไม่มี ไม่อยากก็ไม่มี ยินดียินร้าย ..... ไม่มี
จิตใจไม่มีหมกมุ่นเกาะเกี่ยวกับอะไร ดูอะไรๆ ก็ดูเฉยๆ เป็นสักว่า สักว่า
ความรู้สึกจะไม่ถูกปรุงแต่งความรู้สึกอย่างนี้ จึงเรียกว่า สงบไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องไปละอะไร รู้อย่างนี้มันละหมดเลย
มันวาง มันเบา ไม่ไปยึดติดกับอะไร มันถอนออกจากอะไรๆ เรียกว่า จิตเป็นอิสระรู้เฉยๆ รู้ เท่านั้นเอง จิตมันหยุดแล้ว มันรู้เลย
รู้ตรงนี้ มันจบ นี่แหละ ธรรมะ
เริ่มต้น “รู้”อย่างไร “ปฏิบัติ” อย่างไร
หลวงพ่อไม่ใช่พูดให้ฟัง แต่จะชี้ให้ดู เราต้องดูไปด้วย ส่วนมาก เราไม่ค่อยได้ดูกายดูใจตัวเอง ดูแต่ข้างนอก ไม่หันมาดูตัวเองเลยหลวงพ่อจะชี้ให้รู้จัก ก็ให้รู้จักตัวเอง ดูกาย ดูใจ ถ้ากายดี ใจดี อะไรๆก็ดีไปหมด
มาเน้นเรื่อง “สติ” หรือ รู้สึกตัวดูความรู้สึก เห็นความรู้สึกคำว่า “รู้อย่างไร”“ปฏิบัติอย่างไร”
นั่งอยู่อย่างไร ตอนนี้ รู้มั้ย นั่งอย่างไร ...... จึงสบาย นี่ก็เริ่มรู้ธรรมะแล้วนะ
นั่งถนัดมั้ย เกร็งเนื้อเกร็งตัวมั้ย ปวดเมื่อยมั้ย นั่งตามสบายเลย นั่งอย่างไร ถนัดดี นั่งอย่างไร ไม่ปวดเมื่อยง่าย นั่งตัวตรงๆ ขยับแข้งขยับขาให้มันสบาย รู้ได้ !นี่ เรียกว่า รู้กาย รู้สึกทางกายเลือดลมเดินสะดวก เป็นการบำบัดโรคไปในตัว
ทางใจ ก็มาดูความรู้สึก... หายใจเข้าออก ...... อัดอั้นมั้ย มีกลั้นมั้ย เป็นไปเพื่อไม่อั้น ไม่กลั้นหายใจเข้าออก ยาวๆ ปล่อยความรู้สึก ปลอดโปร่ง โล่ง เบา
การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม
วันๆ อยู่กับความรู้สึก รู้สึกอบอุ่น ทำการทำงาน รู้จักช่วยตัวเอง ฝึกช่วยเหลือตัวเอง ต้องหัด หลวงพ่อหัดตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส สมัยก่อน เราก็ใช้ ใช้ลูก ใช้ภรรยา ถือว่าเป็นคนรับใช้ พอมาศึกษาธรรมะ ถ้วยชามล้างเอง เสื้อผ้าก็ซักเอง
กวาดบ้านถูบ้าน ทำเองได้ทุกอย่าง เข้าครัว ทำกับข้าวหุงข้าว เป็นหมด ลูกคนจีนอยู่แล้ว
สมัยก่อนนี่ พ่อเป็นคนจีน แกก็ทำอาหารเก่ง เราก็ดู เอ๊ะ .. เราก็ทำได้ ทำได้หมด ขอให้ได้ดูได้เห็น แกงคั่ว แกงส้ม อายุ 9 ขวบ
ก็หุงข้าวเป็นแล้ว สมัยก่อนใช้ฟืน ต้องเป่า ฟู้ด... เข้าหูเข้าตา น้ำตาไหลพราก บางทีก็หาฟืนเอง ใช้ฟืน ใช้แกลบ ทำกับข้าว หุงข้าว
อายุ 12-13 ก็ตามพ่อไปค้าขาย ขายของชำ พายเรือขายกะปิ น้ำปลา หอมกระเทียม ถั่วเขียว มันเทศ มะพร้าว เสื้อผ้า หมาก พลู ปูน
มีสารพัดในเรือ ขายแลกข้าว
สมัยนั้นได้เรียนแค่ป.4 ถ้าจะเรียนมากกว่านั้นต้องเข้ากรุงเทพ แล้วเข้ากรุงเทพที 4-5 ต่อ เสียเวลา ออกมาทำงานดีกว่า
เริ่มค้าขายก๋วยเต๋ยว ชามละ 50 ส.ต. ทำช่างไม้ ทำเฟอร์นิเจอร์ แต่พอมีลูกๆเลยมาขายไอติม ทำไอติมส่งขาย หัดให้ลูกๆ รู้จักทำมาหากิน
เห็นเด็กสมัยนี้ ทำอะไรไม่เป็นเลย เรียนๆอย่างเดียว ขอพ่อแม่กินไปเรื่อยๆ หลวงพ่อทำไม่ได้ ตอนเราเด็กๆนี่ต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน พ่อก็ดุมาก
เห็นทำอะไรเหยาะแหยะๆ ไม่ออกแรง โดนด่าทันทีเลย โดนตวาดเลย ตักกับข้าวเยอะๆก็ถูกด่า กินข้าวเหลือติดก้นชามก็ถูกด่า กินช้าก็ถูกด่า
มองจ้องกับข้าวนานก็โดนแล้ว ทุกอย่างเลย ทำข้าวสารหกก็ต้องนั่งเก็บให้หมด แต่ก็สงสารพ่อนะ แกลำบากมามาก เราก็สงสาร
พออายุ 50กว่า ก็ไม่ให้แกทำงานแล้ว เราทำงานเลี้ยงพ่อเองเลย ผ่านชีวิตมา โอ้... ผ่านมาได้ยังไงนะ
มาเริ่มเข้าวัดอายุ 40 เสียดายชีวิตเลย ต้องเปลี่ยนชีวิต หัดลด หัดละ ต้องขยัน ประหยัด กินน้อย ทำงานมาก เสียสละ ตอนนั้นอยากออกบวช
แต่มาดูลูกก็ยังเล็ก ต้องทำให้เรียบร้อย สิ่งต่างๆอาจเป็นเครื่องกังวล หากยังมีอยู่การบวชก็ไม่ได้ผล
ยิ่งรู้ธรรมะยิ่งทำงานหนัก ทำงานมาก ใช้น้อย รู้จักคุณค่า พอมาบวช ทีแรกนึกว่าจะได้อยู่เงียบๆ สงบๆ ไม่ต้องทำอะไร
ไม่ต้องยุ่งกับใคร ที่ไหนได้ บวชยิ่งทำมากกว่าตอนเป็นฆราวาสอีก ทำจนเป็นไส้เลื่อน 2 ข้างเลย เพราะมีสติ มันทุ่มเท
ทำไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งทำยิ่งสนุก มีความสุข
นี่แหละต้องมาดูความรู้สึก ตรงที่สุดเลย รักษาความรู้สึก ไม่ให้เสียความรู้สึก ที่หลวงพ่อเทียนชอบพูด “ เฮดซื่อๆ เบิ่งซื่อๆ มันบ่มีหยัง ”
“ มันไม่มีเรื่อง ”
อันนี้แหละ ดูเฉยๆ เห็นความรู้สึกแล้ว ก็เฉยๆ นี่ปฏิบัติแบบนี้ เรามาทำจึงได้เห็น
หลวงพ่อตอนบวชใหม่ๆ คิดว่ารู้ธรรม แต่จริงๆ ไม่รู้ ล้มลุกคลุกคลาน ในตอนนั้น ใครทำอะไรไม่ถูกใจ ใครมาขัดแย้งโต้ตอบ
งัดกระเด็น ผลจากการที่ใครทำอะไรไม่ถูกใจไม่ได้เลย คือ ทุกข์
แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน พอเรียนรู้ขึ้น ปฏิบัติ รู้กาย รู้ใจ เราก็อย่าไปสนใจดูคนอื่น ดีไม่ดี .... ช่างเขา ทำใจเราให้ดี หายใจ ไม่อั้น ไม่กลั้น ถ้าชอบไปดูคนอื่น เราก็มัก จะไม่ถูกใจ ก็งดซะหลีกเลี่ยง หนี อยู่คนเดียว
หลวงพ่อเคยไปอยู่ ค่ายลูกเสือที่บางใหญ่ คนเดียว ออกบิณฑบาตต้องลุยน้ำ ... ก็ดี อยากอวดดีนัก ก็ได้เห็นตัวเอง อยู่กับคนอื่นไม่ถูกใจ ขัดแย้งไปหมด ไม่ชอบหน้า หนีดีกว่า ตอนหลังก็เข้าใจขึ้น คำว่า“หลีกเร้น”แต่ทำการทำงานหลีกเร้น แบบนั้นไม่ได้ ตอนนั้นมีทางเลือก เราก็เลือก ถ้าไม่มีทางเลือกก็ต้องอยู่กับมันให้ได้เอาชนะตัวเอง
อยู่กับความรู้สึก อย่าให้มีอะไรกับใครได้ไหม อย่าสนใจคนอื่น สนใจตัวเอง อย่าไปดูคนนั้น คนนี้ เขาทำไง ทำผิดอีกแล้ว
เราอย่าไปจับผิดจับถูก ช่างเขา เนี่ย! “หลีกเร้น”
ฝึกจิตฝึกใจเราให้ดี ให้มีความสุข ดูความรู้สึก รู้ความรู้สึก ปรับความรู้สึก ทำให้ได้ ไม่มีคนทั้งโลก ที่มันจะดีหมด ก่อนนี้ หลวงพ่ออยู่กับหลวงพ่อเทียนก็คอยเพ่งเล็ง ทำไมหลวงพ่อเทียนไม่ว่า เขาทำไม่ถูก แต่หลวงพ่อเทียนก็ไม่เคยว่า
เราเองที่ตกนรก(หัวเราะ) นั่นเพราะไม่รู้จัก เราพังหมด ไม่มีใครอยากคุยด้วย ตอนนั้น แต่หลวงพ่อเทียนท่านมีวิธีสอน
ท่านก็ไม่แนะเรา ท่านก็คงปล่อยให้เรารู้เอง
จะเอาอะไร ให้รู้จัก ฝึกรู้ เรียนรู้ อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง เราก็จะไม่ถือสา ถ้าเห็นความจริงเขาเป็นอย่างนั้น เราก็ยอมรับความจริงของเขา
แล้วเราจะไปขัดแย้งกับความจริงทำไม? นี่ต้องเข้าใจ ความเป็นอย่างนั้น
อาจารย์ พุทธทาส ว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง” อะไรๆ ก็เช่นนั้นเอง เขาจะดีไม่ดี ก็เช่นนั้นเอง ก็สรุปว่า เขาเป็นอย่างนั้น
ยอมรับความจริง ไม่ไปว่าใคร ถ้าอยู่แบบนี้ก็ไม่เป็นปัญหา ต้องหัด เรา มักไม่ยอมเห็น ความเป็นเช่นนั้นเอง เขามาด่าเรา ก็....ดี
เขาทำอะไร ก็...เออดี ยังไงก็ได้ มีทางเลือกไหม เขาดีเราก็ดี เมื่อก่อนเขามาด่าเราก็หงุดหงิด เรื่องทำงาน เขาจะทำไม่ทำ ก็ดี ช่างเขา
อย่าถือดี ยึดดี “ ดี ” ไม่ต้องมี “ ไม่ดี ” ก็ไม่ต้องมี อยู่เหนือดีซะ
แต่ที่ผ่านมา ตอนสึกครั้งแรก ก็ไม่ได้คิดว่าอยากจะสึก ตอนนั้นไม่สึกก็ไม่ได้ ความรับผิดชอบ มันยังมี ต้องไปดูครอบครัว มีปัญหามาก พิจารณาแล้ว ไม่ไปนี่ แม่บ้านเขาคงลำบากมาก
เราต้องให้แม่บ้านเขาอยู่ได้ อย่างน้อยเคยทุกข์ เคยสุขมาด้วยกัน
ตอนนั้นที่สึก ก็คิดว่าจะไม่มาบวชเพราะเบื่อ เห็นว่าสำนักปฏิบัติทำไมเป็นอย่างนี้ แต่ทำไมกลับมาได้ เพราะเราสะสมตัวนี้ไว้มาก
ตอนแรก ซื้อที่ดินไว้เพื่อสร้างกระต๊อบอยู่คนเดียว ปลีกตัวมาอยู่คนเดียว บวชก็เบื่อนักปฏิบัติด้วยกัน มาคุยกับหลวงพ่อเทียน
ถามท่าน มันดีไหมหลวงพ่อ? ท่านบอกว่า “มันดีน้อยว่ะ” จิตมันพลิกเลย
ตอนนั้นหลวงพ่อเทียนก็ไม่มีคนอยู่ด้วย ก็เลยกลับมา พอมาอยู่ก็เกือบอยู่ไม่ได้ ร้อนไปหมด ฟุ้งไปหมด ทรมานมาก ปฏิบัติไม่ได้ ฟุ้ง
คิดจะสึกอีก ไปที่ไหนก็ร้อน ทรมานมากหลายเดือน ก็เลยบอกตัวเองว่า ถ้าอยู่ไม่ได้จริงๆ ก็ไป ตอนนั้นพระด้วยกันเขาก็ดูถูก
เป็นพระบวชๆ สึกๆ นั่นเพราะเรา ยัง”ติด” ยัง “ยึด” ญาติโยมก็เหินห่าง กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยได้ น่าดูเลย ...
ถ่ายทอดให้ นี่ แปดสิบแล้ว เชื่อไม่เชื่อลองไปทำดูเอา ...
ประวัติตามคำบอกเล่าของถ้ำเขาพระ
ตามคำบอกเล่าต่อๆกันมา สมัยที่มีการก่อสร้างพระบรมธาตุครอบพระบรมธาตุองค์เก่า
เมื่อชาวต่างเมืองผู้มีศรัทธาในพุทธศาสนาได้ข่าวจึงพากันรวบรวมสิ่งของต่างๆเช่น
แก้ว แหวน เงินทอง ถ้วยชาม ของมีค่า พระพุทธรูปองค์เล็กๆ
เพื่อมาร่วมบรรจุไว้ในพระบรมธาตุด้วย แต่ระหว่างเดินทางนั้นชาวต่างเมือง
ได้ทราบข่าวว่า การสร้างพระบรมธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงตัดสินใจหยุด
และเดินทางกลับ เมื่อผ่านจุดถ้ำเขาพระจึงได้สร้างพระพุทธรูปทั้ง3องค์ขึ้นมา
พร้อมทั้งฝังทรัพย์สินเงินทองไว้ และนำของมีค่าต่างๆมาเก็บซ่อนไว้ตามซอกถ้ำ
รวมถึงพระพุทธรูปไม้แกะสลักอีกเป็นจำนวนมาก
(มีบางองค์ได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดราษฏร์รังสรรค์)
ต่อมาพระพุทธรูปทั้ง3องค์ถูกชาวบ้านมาขุดรื้อที่ฐานพระ เอาของมีค่าไปหมด
อีกทั้งยังทำลายพระพุทธรูปเสียหายเป็นอันมาก
(พบว่าฐานเป็นดินและในองค์พระเป็นไม้แก่นยืนจากฐานจรดเศียรพระ)
ภายหลังจึงมีการบูรณะซ่อมแซม ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
(ชาวบ้านได้เรียกพระพุทธรูปองค์ดำว่า หลวงพ่อเมือง)
สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำเขาพระ หรือที่คนท้องถิ่นอ่าวลึกเรียกว่า “วัดถ้ำ” เป็นสถานที่เงียบสงบ ร่มรื่น โล่งโปร่งเย็นสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ ภูเขา ต้นไม้ ลำธาร มีลมพัดโชยสม่ำเสมอ เหมาะอย่างยิ่งกับการปลีกตัวมาพักกายพักใจ อีกทั้งยังมีครูบาอาจารย์ที่เมตตา เอาใจใส่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรม ถ้ำเขาพระจึงเป็นสถานที่ที่เอื้อสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
หลวงพ่อสมบูรณ์ ฉตฺตสุวณฺโณ ได้มาบุกเบิกพัฒนาตั้งแต่ปี 2531
แต่เดิมนั้นสถานที่นี้เป็นป่ารก เต็มไปด้วยเถาวัลย์ ต้นหนาม จอมปลวก
มีเพียงบริเวณหน้าถ้ำเท่านั้นที่สามารถใช้ประโยชน์ได้
(ชาวบ้านบริเวณนี้ ก็ได้ใช้เป็นที่เผาศพ และฝังศพด้วย)
ต่อมาเมื่อปี 2535 ได้มีการก่อสร้าง “ศาลาศึกษาและปฏิบัติธรรม”
เป็นอาคาร 2 ชั้นพร้อมที่เก็บน้ำฝน งบประมาณก่อสร้างประมาณ
ล้านกว่าบาท ใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงแล้วเสร็จ
หลังจากนั้นหลวงพ่อสมบูรณ์ก็ค่อยๆปรับพื้นที่และปลูกต้นไม้ขึ้นมา
เป็นจำนวนมาก สร้างกุฏิที่พัก ห้องน้ำ เดินระบบไฟฟ้า วางระบบน้ำ
ได้อย่างลงตัวและเกิดประโยชน์สูงสุด
ด้วยหลักที่ว่า “เรียบง่าย ประหยัด สมดุลกับธรรมชาติ”
วัดถ้ำแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่ใครเข้ามาแล้วต่างพูดเหมือนกันว่า
“รู้สึกสงบ สบายใจ ร่มเย็น สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย”
สถานธรรมแห่งนี้ได้ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ และมีการสอนที่
เป็นธรรมชาติ เรียนกับความเป็นจริง ใช้ชีวิตอยู่กับการทำงาน
โดยเฉพาะหลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่“ทำให้ดู อยู่ให้เห็น ไร้เจตนา”
ธรรมะที่ท่านถ่ายทอดจึงออกมาจากชีวิตที่เป็นอยู่จริงๆ ยิ่งการทำงาน ถือว่าเป็นจุดเด่น
ท่านจะขยันขันแข็ง กระปรี้กระเปร่า ไม่มีย่อท้อเบื่อหน่าย แม้ว่าจะป่วยเป็นมะเร็ง
ต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย แต่ท่านก็ยังทำงานทุกอย่างตั้งแต่ กวาดใบไม้บนพื้น
และดาดฟ้ากุฎิเปลี่ยนกระเบื้องหลังคา เลื่อยต้นไม้ที่ถูกลมพัดหัก ซ่อมท่อน้ำท่อประปา
แก้ไขบานประตู ทำโต๊ะไม้ ทำบันได ขุดดิน โกยหิน เกลี่ยหินซ่อมถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ
ล้างแท้งค์น้ำ หิ้วปูน ปัดกวาดเช็ดถู รวมถึงซักผ้าซักจีวร ทำได้หมดทุกอย่าง
เป็นการสอนธรรมโดยไม่ต้องสอนอย่างแท้จริง
สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำเขาพระจึงไม่เน้นพิธีรีตอง ไม่ยึดติดกับความเชื่อ
แต่เน้นสติปัญญา รู้จักเหตุผล จึงไม่วุ่นวายผู้คน ไม่เน้นวัตถุก่อสร้าง ไม่เน้นปริมาณ
แต่ให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดธรรมะที่เอาไปใช้กับชีวิต ให้ชีวิตมีคุณภาพ
มีค่ามีราคา อยู่เย็นเป็นสุขและไม่มีทุกข์ เท่านั้นเป็นพอ
แนวทางการปฏิบัติ
การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
เน้นให้รู้กาย รู้ใจ ให้รู้ความรู้สึก เห็นความรู้สึก อย่างต่อเนื่อง เคลื่อนไหวให้ตื่นตัว
ตื่นกายตื่นใจ คล่องแคล่วว่องไว มีชีวิตชีวา ร่าเริง เบิกบานแจ่มใส กระปรี้กระเปร่า
เป็นปกติอยู่กับทุกอิริยาบถ ยืนเดิน นั่ง นอน กิน เคี้ยว ดื่ม ปัดกวาดเช็ดถู
ล้างถ้วยล้างชาม เป็นการปฏิบัติธรรมทั้งหมด การเดินจงกรมของที่นี่ก็คือ
การเดินให้สบายๆ แบบปกติ หรือจะนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ หรือนั่งเก้าอี้
ยังไงก็ได้ ขอให้”รู้สึกสบาย” หลวงพ่อสมบูรณ์ท่านจะบอกเสมอว่า
“ทำยังไงก็ได้ที่ทำแล้วสบายๆ”
กว่าจะเป็น หลวงพ่อสมบูรณ์ ฉตฺตสุวณฺโณ
เตรียมตัวก่อนบวช
หลวงพ่อสมบูรณ์ เป็นพระผู้ใหญ่นักปฏิบัติที่น่าเลื่อมใส
ศรัทธารูปหนึ่งในแนวการเจริญสติด้วยการเคลื่อนไหวในสายของหลวงพ่อเทียน
โดยหลวงพ่อสมบูรณ์ เป็นพระลูกศิษย์ที่มีบทบาทในการพัฒนาดูแลวัดสนามใน
อันเป็นสถานที่สำคัญที่ครูบาอาจารย์ได้ใช้เป็นสถานที่
ในการชี้แนะสั่งสอนญาติโยมมาเป็นเวลานาน รวมทั้งการเป็นประธานสงฆ์
สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำเขาพระ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่
หลวงพ่อสมบูรณ์ เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2473
เป็นคนไทยเชื้อสายจีน บิดาของท่านมาจากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่
แต่มารดาเป็นคนไทย มาตั้งรกรากอยู่ที่ อำเภอไทรน้อย จ.นนทบุรี
ครอบครัวของท่านประกอบอาชีพซื้อขายข้าว โดยจะลากเรือไปตามลำน้ำต่างๆ
เพื่อซื้อข้าวมาขาย โดยท่านเป็นกำลังสำคัญในการช่วยบิดา
ทำงานตั้งแต่เด็ก และเลี้ยงดูน้องอีก 8 คน ต่อมาได้แต่งงาน มีลูก 5 คน
เสียชีวิตไป 1 คน และได้แยกมาประกอบอาชีพอยู่ที่ ตลาดบางบัวทอง
อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี
ชีวิตในวัยทำงานและชีวิตครอบครัวช่วงเป็นฆราวาส
ท่านเป็นคนที่ขยันขันแข็งและฝักใฝ่ในธรรม ในเรื่องบุญกุศลมาแต่เดิม
เป็นหัวหน้าครอบครัวที่รับผิดชอบดูแลทุกคนในบ้าน ฝึกฝนลูกๆ ทุกคน
ให้ทำงาน ให้รับผิดชอบ ประหยัด มีระเบียบวินัยมาตั้งแต่เด็ก
“ พ่อเป็นคนที่มีระเบียบมากและสอนลูกๆให้มีระเบียบด้วย สอนให้ทำงานเป็น
พ่อจะหัดให้ลูกทุกคนต้องทำกับข้าวเป็น ... ครั้งแรกแค่ 8 ขวบ ยังไม่ถึง 10 ขวบเลยมั๊ง
พ่อก็ให้ทำกับข้าว เราก็เด็กๆ ไม่เคยทำมาก่อน จำได้ว่า เค็มมาก”ท่านก็ถามว่ากินได้ไหม?
กินไม่ได้ เค็มมาก แล้วให้หัดทำใหม่ ท่านสอนลูกให้ทำงานเป็นทุกอย่าง
ตั้งแต่ทำกับข้าวจนงานก่อสร้างบ้านกันเลยทีเดียว
“จำได้ว่าตอนเด็กต้องมาขนทราย ตีสามตีสี่ ช่วยกันขนทรายเข้าบ้าน
เทพื้น ผูกเหล็ก ทาสี ฯลฯ ช่วยกัน และก็ติดมาจนโต ตอนนี้ซ่อมบ้านก็คุมงานเอง
บางอย่างก็ทำเอง อันนี้คงได้มาจากพ่อ ที่ท่านเคยทำให้เห็น”
พ่อเป็นคนที่มี “ความมัธยัสถ์” และใช้ชีวิตแบบง่ายๆมาก
ถ้าสมัยนี้คงเรียกว่าชีวิตแบบพอเพียง เสื้อผ้าที่ใช้ก็มีอยู่ 2-3 ชุดเท่านั้น
คือ เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน และคาดเข็มขัดเอาเสื้อใส่ในกางเกง
เป็นภาพที่เห็นเป็นประจำ นอกจากนี้ หากหลายคนที่พบเจอท่านเมื่อท่านบวชแล้
วก็จะได้ยินเสมอในเรื่องที่ท่านสอนให้ประหยัด อดออม และรู้จักการใช้จ่าย ไม่ฟุ่มเฟือย
ที่บ้านประกอบกิจการขายไอศกรีม โดยท่านไปหาสูตร มาทำเอง
ดูเหมือนจะเรียนมาจากร้านสักแห่งในเมือง ที่ท่านไปทำงาน
ทางร้านก็ให้สูตรและสอนการทำให้ และไอศกรีมที่ท่านทำก็ขายดีมาก
นอกจากนี้ ภายในบ้านที่เป็นร้านขายไอศกรีมก็จะติดกลอนที่ท่านเขียน
ไว้มากมาย เพื่อให้ข้อคิดสอนใจกับคนที่ผ่านมาผ่านไป
และบรรดาลูกๆได้อ่านกันจนขึ้นใจทีเดียว
เรื่องการฝึกจิตใจ ก่อนที่ท่านจะมาบวช ก็บวชจิตใจมาก่อน
ท่านจะสวดมนตร์ทำวัตรเย็น และให้ลูกๆ ทุกคนมาสวดมนต์ร่วมกันด้วย
เมื่อทำมาหากินมีรายได้ก็แบ่งทำบุญในทางพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลา
วันหยุดมักไปทำบุญฟังธรรมที่วัด เช่น ที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์ เป็นต้น
นอกจากนี้ในแต่ละวันท่านก็จะนั่งสมาธิเดินจงกลม ทุกวันตั้งแต่เช้ามืด
วันละเป็นเวลานานๆ การบริโภคอาหารมังสวิรัติ งดเว้นจากเนื้อสัตว์
อีกทั้งท่านยังเป็นคนอุปัฏฐากรับใช้ในกิจกรรมต่างๆทางพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ
“ตอนก่อนนี้เวลามีบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ที่วัดสวนแก้ว
พ่อจะขับรถไปรับสามเณรมาบิณฑบาตในตลาด
คนก็มาช่วยกันใส่บาตรทำบุญเยอะมาก ที่ร้านก็ช่วยกันทำไอศกรีมเลี้ยง
ทำกันจนอุปกรณ์เครื่องมือชำรุดเลยทีเดียว”
ท่านชอบอ่านหนังสือและสนใจศึกษาหาความรู้มาก ทั้งความรู้และหนังสือธรรมะ
คำสอนของบรรดาครูบาอาจารย์ต่าง ๆ เวลากลับจากทำงานค่ำมืดท่านก็มาอ่าน
หนังสือต่ออีก ท่านจึงเป็นคนที่ทันสมัยมาก ไม่เฉพาะการอ่าน
แต่การศึกษาหาความรู้จากการปฏิบัติ ท่านก็สนใจหาความรู้เพื่อนำมาประกอบอาชีพด้วย
“มีอยู่ช่วงหนึ่งพ่อไปวัดและก็ไปเรียนตัดเย็บ เสื้อผ้ากางเกง
ช่วงกลางคืนที่เขามีการสอนอาชีพให้ด้วย”
ในช่วงก่อนบวช ท่านได้รู้จักและติดตามศึกษาธรรมจาก หลวงพ่อเทียน
ท่านก็อาสาช่วยงานการก่อสร้างกุฎิ หรืองานก่อสร้างต่างๆ
ไปช่วยเหลือสนับสนุน ทั้งวัดสวนแก้ว วัดสนามใน เท่าที่ท่านจะทำได้ อย่างตั้งใจเต็มที่
เต็มกำลัง ท่านเป็นช่างไม้ฝีมือดี ที่หลายคนก็จำได้ งานไม้ของท่านจะเข้าลิ่ม แข็งแรง
ทนทาน ประณีต เรียบร้อย จนทุกคนออกปากชม
ความรู้ในเรื่องช่างของท่านยังนำมาใช้อยู่ตลอดเวลาให้เกิดประโยชน์
หลายคนที่เคยไปสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำเขาพระ จะได้เห็นงานไม้
ตู้เก็บของและสิ่งต่างๆ ล้วนเป็นฝีมือและการทำงานของท่าน
ท่านเป็นคนที่ไม่นิ่งดูดายจริงๆ ในทุกที่ทุกเวลา หากยังมีแรงที่ทำไหว
และอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะช่วงที่ท่านอาพาธ เป็นมะเร็ง และต้องมาจำวัด
พักรักษาตัวที่วัดสนามใน ท่านก็ช่วยในการดูแล ออกแบบ
และควบคุมการก่อสร้างอาคารสำนักงานสูง 3 ชั้น จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี
ตัดสินใจออกบวช
จากที่ได้ประกอบอาชีพและแต่งงานมีครอบครัวใช้ชีวิตตามแบบฆราวาส มาหลายปี
จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 40 ปี ท่านได้มีโอกาสคุยเรื่องความดีความชั่วกับเพื่อน
ก็มีคำถามว่า ชีวิตมีแค่นี้หรือ..?
จากที่ก่อนหน้านั้นก็ได้ฟังรายการธรรมะทางวิทยุอยู่เรื่อยๆ แต่ทว่าคำถามหรือ
ความสงสัยยิ่งต้องการคำตอบมากขึ้น จนเมื่อได้ไปฟังท่านพระโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก
ที่วัดมหาธาตุ พูดถึงโทษของบุหรี่ อย่างละเอียด
จึงรู้สึกอายด้วยเหตุที่คิดเปรียบเทียบเอาเองว่า
“คนที่สูบบุหรี่เหมือนวัวเหมือนควาย ถูกจูงจมูก จึงเลิกแบบหักดิบทันที
หลังจากที่ติดบุหรี่มานานถึง 23 ปี ขณะที่ติดบุหรี่วันละ 2 ซอง
ลิกอย่างเด็ดขาด ณ ที่นั้นเอง
หลังจากที่ได้ฟังพระโพธิรักษ์ในวันนั้น ไม่เพียงแต่มีผลต่อการเลิกบุหรี่เท่านั้น
แต่ยังมีความหมายใหม่ต่อชีวิตเพราะเป็นการจุดประกายที่เกิดความตั้งใจ
อยากบวชเมื่อพบว่าชีวิตโลกสังคมและการครองเรือนสำหรับตนนั้น เป็นชีวิตที่ไม่อิสระ
ปี 2518 มีอาจารย์ ซึ่งเป็นฆราวาสคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักหลวงพ่อเทียน
ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อเทียนกำลังสอนโยมด้วยการจับมือแล้วถามว่า
“อย่างนี้รู้สึกไหม” ก็สะดุดใจ และเห็นว่าน่าสนใจมาก
จึงตามหลวงพ่อเทียนมาที่ วัดสนามใน
แล้วความฝันก็เป็นจริง
เมื่อหลวงพ่อสมบูรณ์ซึ่งขณะนั้นเป็นฆราวาสตัดสินใจบวชในปี 2523
โดยได้เตรียมความพร้อมด้วยการบอกครอบครัว
ล่วงหน้า 7 ปี เพื่อทำภารกิจต่างๆ ให้เรียบร้อยและจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
แต่เส้นทางใช่จะราบเรียบ อุปสรรคย่อมเกิดขึ้นเพื่อให้เราฝ่าฟัน
หลวงพ่อยอมรับว่าใหม่ๆ นั้นเครียดมาก และขัดแย้งกับตัวเองมาก
เพราะความที่สุดโต่งมากเกินไป เมื่อเห็นอะไรก็รู้สึกไม่ถูก ไม่ต้องไปเสียทั้งหมด
และต่อมาก็มีความจำเป็นต้องสึกออกไป ในปี 2526
เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติที่บ้าน หลังจากที่หลวงพ่อสมบูรณ์กลับไปใช้ชีวิตฆราวาส
และได้แก้ไขปัญหาต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกท่านตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตฆราวาส
แบบเรียบง่ายอยู่คนเดียวอย่างสันโดษ และได้มาปรึกษา
หลวงพ่อเทียนด้วยคำแนะนำประโยคสั้นๆ จากหลวงพ่อเทียนว่า “ มันดีน้อยว่ะ ”
จึงเกิดสะดุดใจทันที การใช้ชีวิตแบบฆราวาส
ถึงแม้จะอยู่คนเดียวศึกษาปฏิบัติธรรมไป ก็ดี แต่ก็ยังเกิดประโยชน์น้อย
หากมาบวชใหม่จะช่วยให้เกิดประโยชน์ที่มากกว่า หลวงพ่อสมบูรณ์ จึงตัดสินใจ
บวชอีกครั้งกับหลวงพ่อเทียน ที่ ทับมิ่งขวัญ จ.เลย ในปีต่อมา
ตลอดเวลาของการอยู่ในเพศบรรพชิต หลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านมี “ความมุ่งมั่น”
ในการศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาก ทั้งในด้านการศึกษาภาคปริยัติ
การเรียนรู้พระธรรมคำสั่งสอน หนังสือตำรามากมาย ทั้งจากท่านพุทธทาส
และครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน ในขณะที่ภาคปฏิบัติท่านก็มุ่งมั่นในการปฏิบัติมาก
ทั้งการปลีกวิเวก และบางครั้งก็ไปธุดงค์ในป่าช้า
บางทีก็ไปอยู่ที่เงียบๆ คนเดียว ในค่ายลูกเสือแถวบางใหญ่ก็เคย
ออกมาบิณฑบาตทีก็ต้องลุยน้ำ ลุยหญ้าออกมา จนจีวรเปียกเปื้อน
ซึ่งท่านก็ไม่ได้กังวลกับความลำบาก แต่กลับนำสิ่งเหล่านั้นมาสอนจิตใจ
ดูจิตใจตัวเองจนเห็นความจริงหลายอย่าง และเจริญในธรรมยิ่งขึ้น ในเวลาต่อมา
กว่าจะถึงวันนี้ได้ศึกษาและปฏิบัติมาหลายวิธี ทดลองมาเรื่อยจนเห็นว่า
วิธีของหลวงพ่อเทียนเป็นวิธีที่สัดสั้นแต่ก็ยอมรับว่า
กว่าจะรู้อย่างนี้ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีเลยทีเดียว
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง บททดสอบที่สำคัญของชีวิต
ชีวิตจริงๆไม่มีทุกข์ เรายังมีทุกข์อยู่ไหม?แต่ที่ยังมีทุกข์อยู่เพราะเราเห็นผิด เราจึงทุกข์ ถ้ารู้จักจะไม่ทุกข์ จะมีความสุข
เป็นยังไง วันๆ รู้สึกมีความสุขไหม?
หลวงพ่อมีความสุขนะ ขนาดเป็นมะเร็ง ให้คีโมมา 12 ครั้ง หมอบอกเป็นระยะ 3 ระยะ 4 หมอบอกไม่ต้องทำอะไรแล้วหลวงพ่อก็บอกว่าก็ดีๆ จะได้อาศัยมะเร็งพาเข้าโลงเสียที แต่ผลที่สุดมันก็ไม่เอา มันทิ้งเราเลย มะเร็งไม่พาเข้าโลง ตอนนั้นอายุเจ็ดสิบหก เจ็ดสิบเจ็ดปี ก็อยากเข้าโลงแล้ว
ปกติเขาเล่นหนังเล่นลิเกสองชั่วโมง ก็เลิกแล้ว ก็เข้าโรงแล้ว เราแสดงมาเป็นสิบปี ผ่านชีวิตมา ล้มลุกคลุกคลาน
เพราะตอนนั้นมันไม่รู้เหมือนอย่างนี้ ตอนนี้ก็เป็นมะเร็ง หมอบอกว่าเป็นมะเร็งมันก็เฉย ยังหัวเราะ บอกว่า ดี ดี ดี มีความสุข มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ระยะสุดท้ายด้วย ต่อมน้ำเหลืองนี่ร้ายแรงมากนะ หมอบอกว่ากระจายไปทั่วแล้วนะ
หมอคนแรกบอกว่า ไม่ต้องทำอะไร หลวงพ่อก็ว่า ดี ดี ดี ไม่ต้องทำอะไร เพราะ ตั้งใจไม่ต้องทำอะไรอยู่แล้ว
ตอนนั้น ปี 2549 มันจะขึ้นที่คอนี่ เต็มไปหมด ก็ไม่รู้ว่าเป็นมะเร็ง ขึ้นอย่างกับคอพอก จักกะแร้นี่ พูนเลย ขาหนีบอีก
ก็ไปหาหมอเขาเจาะเอาก้อนเนื้อไปตรวจ 7 วัน รู้เรื่องเลย หมอบอกว่า เนี่ยหลวงพ่อเป็นมะเร็ง ระยะ 3 ตอนนั้นหมอเขาบอกระยะ 3
ไม่ต้องทำอะไรนะ หลวงพ่อว่า ดี ดี ดี เราก็ยังหัวเราะ ดีใจ รู้สึกพอใจ ก็มันแก่แล้ว คิดว่าเป็นโอกาสจะได้เข้าโลงเสียที มีความสุข
ก็คิดว่าไม่รักษาหรอก อ๋อ ... มะเร็งมันเป็นอย่างงี้เหรอ ยังหัวเราะ ขำตัวเอง
จากนั้น เลยมา 4เดือน หมอเขาก็นัดไปตรวจทุกเดือนแต่ก็ไม่ได้ให้ยาอะไร เขาสั่งเพียงว่า ถ้าเป็นอะไรให้ไปหานะ ถ้าเกิดเจ็บปวด
เขาอาจมียาให้ เพื่อไม่ให้มันทรมานนั่นเอง เราก็พอใจ ดีแล้ว พอใจแล้ว พอต่อมาหมอคนแรกพอดีท้องแก่ไปคลอดลูก
หมอคนที่สองเข้ามา เขามาดู มาเห็นหลวงพ่อ 4 เดือนแล้วนะ
หมอคนหลังนี้เลยบอกว่า หลวงพ่อต้องให้คีโมแล้วนะ ตอนนั้นหลวงพ่อก็คิดว่าใช้สมุนไพรมาหลายเดือนแล้ว ไม่ดีขึ้น ยาจีนก็ไม่ดีขึ้น
ค่าใช้จ่ายก็เยอะ พวกสมุนไพรไม่ใช่ถูกๆ เลยตัดสินใจลองดู ไหนๆก็จะตายแล้ว ลองศึกษาดู มันก็ไม่ทุกข์อะไร เพียงอ่อนเปลี้ย ไม่มีแรง มันอ่อนแรง หมดสภาพเลย เหมือนชีวิตเรา 100 เปอร์เซนต์ เหลือแค่ 20เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง
ก็คิดว่า ตายนะ ไม่คิดว่ารอดหรอก แต่ก็พอใจ ก็ยังมีความสุข แต่มันอ่อนเปลี้ยไปหมด เดินนี่เซเลย ทรงตัวแทบไม่ได้
พอให้คีโม ผ่านมา 2-3 เดือน มันยุบเลย ยุบแต่ยังเพลียนะ ยังไม่หาย มันชาไปหมดเลย คอนี่พองเลย กลืนน้ำลาย กลืนน้ำนี่แสบไปหมดมะเร็งนี่ร้อน คีโมนี่ก็ยิ่งร้อน ถ้าไม่มีธรรมะจะทรมานมากเลย มือนี่ไม่มีแรง บีบมะนาว นี่ บีบไม่ได้เลย ทำงานไม่ได้เลย
กวาดลานวัดก็กวาดไม่ได้ บีบผ้านี่ ยากมากเลย ไม่มีแรงเลย
พอให้คีโมมา 12 ครั้ง ให้คีโมเสร็จ ผ่านมา 2 ปี ตอนนี้ ดีขึ้น รู้สึกปกติแล้ว หมอก็ติดตาม บอกว่าต้องติดตาม 5 ปี เอกซเรย์คอมพิวเตอร์
ที่โรงพยาบาลวชิระ ไปฟังผลก็ไม่มีอะไร หมอบอกเลือดดี ก็ดี ก็ให้เขาทำไป
นี่แหละหลวงพ่อหายได้ เพราะอะไร เพราะอย่างนี้ ให้ดูความรู้สึก หลวงพ่อก็เห็นความรู้สึกเท่านั้น มันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่ได้ทรมาน นี่ อันนี้ฟังให้ดีๆนะ ส่วนมากพอรู้ว่าเป็นมะเร็ง อยู่ได้อีก สามเดือน ห้าเดือน บางทีเดือนเดียวก็ไปแล้ว นี่แหละกำลังใจ อยู่ที่จิตใจ
แล้วก็ต้องรู้จักบริหารร่างกาย แกว่งแขน หลวงพ่อแกว่งวันนึง 5พันครั้ง ไม่ใช่เวลาเดียวนะ 4 เวลา รำกระบี่กระบองอีก ชกลม แกว่งขา
ยืดเส้น จิตใจเราก็ต้องเข้มแข็ง จิตใจไม่มีตกเลย ความรู้สึกไม่ตกเลย ความรู้สึก... ฮึดพร้อมที่จะเผชิญกับอะไรๆ เนี่ย... มีความสุข
ไม่ใช่เราต้องขืนใจ ฝืนใจ เนี่ยทำอย่างนี้มันก็ดีขึ้น ดีขึ้น
หลวงพ่อตอนเป็นมะเร็งยังช่วยก่อสร้างอาคารสามชั้น ที่วัดสนามใน ปีนขึ้นปีนลง สำนักงานราคา2-3ล้าน ไปดูไดั ออกแบบ คุมงานเอง
พวกโยมเขาว่า ไปรับทำ ทำไมหลวงพ่อ ก็เรามีความสุข ทำแล้วมีความสุข
กำลังใจ ก็หมายถึง ให้เราตื่นเนื้อตื่นตัว อย่าปล่อยให้มันเบลอๆ อย่าให้มันสะลึมสะลือ ให้มันแข็งแรง รู้จักพลิกจิตพลิกใจของเรา
ให้มันตื่นเนื้อ ตื่นตัว พร้อมที่จะเผชิญกับอะไรๆ อันนี้ต้องหัด คนเราส่วนมากมันจะท้อแท้ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังใจน่ะ
ถ้ามาเห็นความรู้สึก เราก็จะพลิกจิตของเราได้ อย่างตอนนี้ กำลังใจดีมั้ยล่ะ ตื่นเนื้อตื่นตัวดีมั้ย แข็งแรงมั้ย ความรู้สึก... มันแข็งแรง
มันไม่แข็งแรงก็รู้จัก ... ได้ ปรับได้ อารมณ์ไม่ดีก็รู้จักเปลี่ยนอารมณ์ใหม่ ได้ ทำอะไรก็ทำให้มันเต็มไม้เต็มมือ ไม่ใช่ทำแบบเหยอะๆแหยะๆ
มันไม่มีคุณภาพ เดี๋ยวนี้เราดูมีคุณภาพมั้ย ตื่นเนื้อตื่นตัว
ถ้าหลวงพ่ออยู่ต่อไปก็อยากจะถ่ายทอดเรื่องนี้แหล่ะ
ว่ารู้อย่างไรชีวิตที่เกิดมาจึงมีค่ามีราคา เกิดมาทำไม ถ้าไม่รู้จักชีวิตแบบนี้ เสียดายนะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)